สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อรถ EV (แบตเตอร์รี่และระยะทาง)

Disclaimer: เขียนจากประสบการณ์ของผมกับรถ BYD Atto 3 รุ่นปี 2024 (Standard Range) คันเดียวเท่านั้น ข้อมูลต่าง ๆ อาจไม่ตรงกับรุ่นอื่นหรือสภาพการใช้งานของคนอื่น จุดประสงค์ของการเขียนคือเพื่อแชร์สิ่งที่ผมเจอจริง ๆ ระหว่างการใช้งาน ไม่ได้มีเจตนาโจมตีแบรนด์ BYD หรือตัวแทนจำหน่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ตอนที่ซื้อรถ EV (BYD Atto 3) ต้องบอกตามตรงว่าไม่ได้ศึกษาลึกขนาดนั้น แค่ไป join กลุ่ม BYD Thailand บน Facebook, อ่านรีวิวออนไลน์ แล้วก็ไป test drive ที่ศูนย์นิดหน่อย ดูสเปคแล้วก็คิดว่าโอเคบวกกับหน้าตารุ่นนี้ไม่อวกาศเกินไปแบบคันอื่นเลยตัดสินใจซื้อ

ปกติเป็นคนใช้รถวิ่งในเมืองเป็นหลัก หาของกิน หาที่เที่ยวเสาร์อาทิตย์ (ตอนนี้พอขับไฟฟ้าก็ออกบ่อยขึ้นมาก) ตอนนั้นก็สนใจว่าแบตขนาดเท่าไหร่ ชาร์จไวแค่ไหน วิ่งได้กี่กิโลเมตรต่อชาร์จ ซึ่งก็หาข้อมูลได้ตามเสปคกับรีวิวทั่วๆ ไป แต่พอได้ใช้งานจริง ก็มีหลายเรื่องที่ ไม่มีใครพูดถึงตรง ๆ ไม่ว่าจะในรีวิวหรือจากพนักงานขายเอง

ใช้มาประมาณ 6 เดือนเลยอยากเอาประสบการณ์ตรงมาเล่าเผื่อคนที่กำลังจะซื้อรถ EV ได้รู้มุมเล็กๆ พวกนี้ก่อนตัดสินใจ

1. Standard range กับ Extended range ไม่ได้ต่างแค่ระยะทางต่อชาร์จ

ตอนแรกคิดว่าต่างกันแค่ความจุแบตมากขึ้นเลยวิ่งได้ไกลขึ้น แต่จริงๆ แล้ว แรงดันไฟ (Voltage) ก็ไม่เท่ากัน ซึ่งมีผลต่อความเร็วในการชาร์จไฟด้วย

  • ATTO 3 Standard Range (SR) = ~370V
  • ATTO 3 Extended Range (ER) = ~400V+

เข้าสูตรฟิสิกส์ไฟฟ้ากำลัง ที่เรียนตอนมัธยม ว่า P = VI อธิบายก็คือ กำลังไฟฟ้าที่ชาร์จได้ (วัตต์) = แรงดันไฟฟ้า (โวลท์) × กระแสไฟฟ้า (แอมป์) ซึ่งเราจะเห็นว่ามีสองค่าที่ต้องหา คือ

  • ค่า I หาได้จากตู้หรือปืนชาร์จ
  • ค่า V จากสเปคของรถ

ทีนี้บางหัวชาร์จที่บอกว่าชาร์จได้แรงสุด 150kW อาจจะปล่อยไฟได้แค่ 200A หมายความว่ารถต้องรับไฟ 750V ถึงจะชาร์จได้เต็มความเร็วสูงสุด

สมมติว่าอยู่ที่ตู้ชาร์จที่จ่ายไฟได้สูงสุด 150kW (Max 200A) รถรุ่น SR ก็จะชาร์จได้ที่ ~74kW และรุ่น ER จะชาร์จได้ ~80kW

เพราะฉะนั้น Standard กับ Extended Range ไม่ได้ต่างกันแค่ขนาดแบต แต่มีผลไปจนถึงความเร็วในการชาร์จเลย ลองเช็ค Spec sheet ของยี่ห้อและรุ่นที่สนใจให้ดี

2. Charging Curve ไม่ได้ชาร์จเร็วตลอดเส้น

รถแต่ละรุ่นจะมี Charging Curve ของตัวเอง บางช่วงจะชาร์จได้เร็วมาก แต่พอผ่านจุดหนึ่งไปแล้ว ความเร็วจะค่อยๆ ลดลง

อย่างใน ATTO 3 ถ้าชาร์จจาก 15% ไปถึง 50% ความเร็วจะอยู่แถว ๆ 70-80 kW ได้ แต่พอเข้าโซน 60% ความเร็วจะเริ่มตกลง และตกลงเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ SoC สูงๆ

ตัวอย่าง Charging Curve ของ BYD ATTO3 ที่ขายต่างประเทศรุ่นแบต 60.5kWh (Ref: EVKX.net)

เพราะฉะนั้น อย่าลืมหาข้อมูลดู Charging Curve ของยี่ห้อและรุ่นที่สนใจด้วย กราฟนี้จะมีผลตอนเราสางแผนการเดินทาง ว่าควรขับเหลือแบตไว้เท่าไหร่ ชาร์จถึงเท่าไหร่ จะทำให้ใช้เวลาชาร์จต่อการเดินทางน้อยที่สุด (aka optimize ที่สุด)

3. แบตร้อน = ชาร์จช้าลง (Throttle)

เข้าใจว่าเป็นปกติที่แบตยิ่งชาร์จเร็วก็ยิ่งร้อน ลองดูแบตมือถือก็ได้ ช่วงที่ชาร์จไวๆ ก็ร้อนมาก

แต่ใน ATTO 3 เหมือนจะมีอีกปัจจัยที่ต้องคิดคือ “ถ้าแบตร้อนเกิน ~46°C รถจะลดความเร็วการชาร์จลง” หมายความว่าถึงแม้ว่า charging curve จะบอกว่าที่ SoC เท่านี้ต้องได้ 70kW ตลอดสิ ก็ไม่ตรงความเป็นจริง

จากที่จับเวลามา ถ้าเริ่มชาร์จที่อุณหภูมิแบต 32-35°C จะได้ความเร็ว 72 kW ผ่านไปประมาณ 11-13 นาที แบตจะอุ่นขึ้นไปถึง 46°C แล้วเริ่มลดกำลังไฟลงเหลือประมาณ 45-50 kW (ผ่านไปสักพักพอแบตเริ่มเย็นลงมาก็จะอาจจะกลับมาได้ max speed อีกครั้ง) แปลว่าเราจะชาร์จได้ max speed แค่ประมาณ 13 นาทีเท่านั้นเอง

ลองดูการทดลองที่คุณ Bjørn Nyland ทำไว้ได้ที่ YouTube สองลิงก์ข้างล่าง

  • https://www.youtube.com/watch?v=6NrA7D155yc
  • https://www.youtube.com/watch?v=TMUwvnv-dJo

4. ถ้ามีรถชาร์จข้างๆ อย่าลืมคิดว่าจะโดนหารกำลังไฟ

ข้อนี้ง่ายๆ ถ้ามีรถมาชาร์จในช่องชาร์จข้างๆ (ตู้เดียวกัน คนละหัว) ก็หมายความว่า เราจะโดนแบ่งกำลังไฟกันด้วย ไม่ได้แปลว่าตู้ที่บอกว่า 120kW จะชาร์จได้ 120kW สองคันพร้อมกัน (จะตกประมาณคันละ 60kW)

และไม่ได้แปลว่าทุกตู้จะหารสองเสมอไป บางตู้มีการเรียง power module ไม่เหมือนกัน ถ้าชาร์จสองคันพร้อมกัน ช่องซ้ายอาจจะเร็วกว่าช่องขวา หรือ vice versa

5. Range ที่โฆษณาไว้ Range ที่จะได้จริง

รถไฟฟ้าในไทย (ที่มาจากจีน) ส่วนมากโฆษณาด้วยตัวเลขตามมาตรฐาน NEDC (not even damn close 🌝) ซึ่งตัวเลขไปไกลกว่าความจริงพอสมควร วิธีคร่าว ๆ ที่ใช้กันแปลงไปเป็นมาตรฐานอื่นๆ ซะ แล้วยิ่งถ้าเป็นคนขับเร็ว เปิดแอร์เย็นๆ หรือมีขึ้นเขายิ่งลดลงไปได้อีก

สำคัญมากหลังแปลงแล้ว อย่าลืมคิดว่า 10% สุดท้ายเราไม่ค่อยขับกันหรอก 10-15% ก็หาที่ชาร์จแล้ว ให้ลบระยะทางตรงนี้ออกด้วย คิดเผื่อไว้หน่อยจะอุ่นใจกว่า

6. จะวางแผนชาร์จอย่าลืมคิดเผื่อเวลาจิ้มแอพ

ปกติผมใช้ที่ชาร์จ DC ตามปั้มเป็นหลัก แล้วก็ใช้มาค่อนข้างหลายเจ้า ปัญหาที่คาดไม่ค่อยถึงอีกอันคือ ก่อนจะชาร์จต้องเปิดแอพในมือถือก่อน บางทีแอพก็ช้า บางทีกว่าแอพจะต่อกับหัวชาร์จได้ก็ใช้เวลา กดสั่งชาร์จแล้วต้องยืนรอดูว่าหัวชาร์จกับรถ handshake กับสำเร็จไหม ที่สำคัญที่สุดหัวชาร์จตามห้างบางที่ไปอยู่ใต้ดินแล้วมือถือไม่มีสัญญาณเน็ต 🥲

รวมๆ แล้วกว่าจะชาร์จไฟเข้าแบตจริงๆ ก็ประมาณ 2–3 นาทีได้ โดยเฉพาะถ้ารีบๆ แล้วต้องมารออะไรแบบนี้ จะรู้สึกหงุดหงิดพอสมควร หรือว่าเวลาเดินทางกับเพื่อน ครอบครัว พักเข้าห้องน้ำ กว่ารถจะเริ่มชาร์จเค้าก็กลับมากันแล้ว


7. ขับทางไกล ชาร์จหลายรอบแต่สั้น ๆ อาจเร็วกว่า

ลองคำนวณคร่าวๆ กรุงเทพ–เชียงใหม่ ถ้าพยายามชาร์จยาว ๆ ทีเดียวจนแบตเต็ม 80–90% สุดท้ายจะเสียเวลา เพราะหลัง 50–60% ความเร็วชาร์จตก แถมแบตเริ่มร้อนก็จะยิ่งโดน throttle ให้ช้าไปอีก

การชาร์จรอบละน้อย ๆ เช่น 20–50% หรือ 20–60% หรือแค่พอโดน throttle แล้วไปต่อ ก็อาจจะเร็วกว่าก็ได้นะ เช่นในคลิปนี้ https://www.youtube.com/watch?v=nmcB1ADv5h0

สรุป

ไม่ได้จะบอกว่ารถ EV ไม่ดี ผมเองก็ยังขับอยู่ทุกวัน และมีความสุขกับมันหลายอย่าง (เช่นเวลาต้องนั่งรออะไรก็เปิดแอร์รอในรถเย็นๆ หรือนอนรอเลยก็ยังได้) แต่ก็อยากให้ได้เห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่บางทีก็ไม่รู้จนกว่าจะซื้อมาใช้งานจริงๆ